เครื่องฟอกอากาศถือเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับคนรักสุขภาพที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ เพราะนอกจากช่วยกำจัดกลิ่นและควันแล้ว ยังสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ อีกทั้งเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นยังสามารถสร้างโอโซนเพื่อให้อากาศภายในห้องสะอาดและสดชื่นมากขึ้น
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผู้ผลิตได้ออกแบบเครื่องฟอกอากาศหลายประเภท เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
เครื่องฟอกอากาศแบบแผ่นกรองคาร์บอน (Carbon Filter)
ใช้แผ่นกรองคาร์บอนเพื่อสลายกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับชื้น กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นสกปรก โดยต้องเปลี่ยนไส้กรองตามอายุการใช้งานที่ผู้ผลิตกำหนด
เครื่องฟอกอากาศแบบประจุไฟฟ้า (Ionic Air Purifier)
สามารถกำจัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก ควันบุหรี่ ขนสัตว์ ละอองเกสรดอกไม้ และสารระเหยจากสารเคมี อีกทั้งยังช่วยทำลายแบคทีเรียและไวรัส เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
เครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter)
ใช้แผ่นกรองอากาศ HEPA (High Efficiency Particle Arresting) กรองได้มากกว่า 99% เหมือนกับที่ใช้ในโรงพยาบาล ห้องทดลอง และโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท มีอายุการใช้งานไส้กรอง 2–4 ปี
เครื่องฟอกอากาศแบบแสงอัลตราไวโอเลต (UV Air Purifier)
รวมคุณสมบัติการกรองหลายแบบในเครื่องเดียว ทั้งกรองฝุ่น กลิ่น และเชื้อโรค โดยใช้แสง UV หลายช่วงความถี่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟอกอากาศ ได้แก่
365 นาโนเมตร: กระตุ้นปฏิกิริยา Photocatalyst สร้าง Active Hydrogen (OH-) สำหรับกำจัดกลิ่น แบคทีเรีย และเชื้อโรค
254 นาโนเมตร: ทำลายโครงสร้างเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
185 นาโนเมตร: สร้างโอโซน ช่วยกำจัดกลิ่น ควัน เชื้อรา และสารเคมีจากเฟอร์นิเจอร์หรือพรม
การเลือกเครื่องฟอกอากาศควรพิจารณาจากปัญหาและความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น ต้องการกำจัดฝุ่น กลิ่น ควัน หรือเชื้อโรคเป็นหลัก การทำความเข้าใจแต่ละประเภทจะช่วยให้เลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมที่สุด และทำให้คุณได้อากาศที่สะอาดและปลอดภัยตลอดเวลา